ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนสิงหาคม 2563
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้
ความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือน มิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม 2563
รายการข้อคำถาม | มิถุนายน | กรกฎาคม | สิงหาคม |
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม | 41.60 | 41.70 | 41.90 |
2. รายได้จากการทำงาน | 38.10 | 38.40 | 38.80 |
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว | 46.90 | 47.20 | 47.70 |
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ | 36.80 | 37.30 | 38.50 |
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต | 47.00 | 47.20 | 47.60 |
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) | 38.20 | 38.30 | 38.90 |
7. การออมเงิน | 41.70 | 41.80 | 41.20 |
8. ค่าครองชีพ | 42.10 | 42.50 | 42.70 |
9. ภาระหนี้สิน | 43.30 | 44.10 | 44.60 |
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน | 36.50 | 36.90 | 37.20 |
11. การแก้ปัญหายาเสพติด | 50.60 | 50.80 | 51.30 |
12. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ | 34.00 | 33.70 | 33.20 |
13. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | 35.20 | 34.90 | 35.30 |
14. ความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวม | 40.10 | 40.80 | 41.30 |
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ในเดือนสิงหาคมดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ เพราะราคาผลผลิตการเกษตร ได้แก่ ยางพารา มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประชาชนชาวสวนยางพาราคาดหวังว่า ราคาอาจจะถึง 60 บาทต่อกิโลกรัม หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนช่วยกัน นอกจากนี้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ “เราเที่ยวด้วยกัน” ทำให้แหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั้งภาคใต้ฝั่งอันดามันและอ่าวไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว และทำให้มีการกระจายรายได้สู่แรงงาน สร้างเม็ดเงินสะพัดให้กับเศรษฐกิจภาคใต้เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลลดลง ทั้งนี้ เพราะประชาชนในส่วนของภาคธุรกิจมีความกังวล และไม่ค่อยเชื่อมั่นต่อหัวหน้าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ คือ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในยุคโควิด-19 โดยเฉพาะความสามารถจะสั่งการและควบคุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ให้ดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกันได้ เพราะหากกระทรวงที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจไม่สามารถทำงานร่วมกันในทิศทางเดียวกันได้ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ มีดังนี้
- นักศึกษาจบใหม่ที่ยังหางานทำไม่ได้ และพนักงานที่ถูกให้ออกจากงานในช่วงวิกฤตโควิด-19 ส่วนหนึ่งต้องการเงินทุนสนับสนุน ซึ่งอาจเป็นเงินช่วยเหลือให้ฟรี เงินกู้ยืมไม่มีดอกเบี้ย หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการประกอบกิจการเล็ก ๆ เพื่อหารายได้ให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพในช่วงโควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดหนักทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อภาคธุรกิจทำให้การจ้างงงานในหลากหลายสาขาอาชีพมีจำนวนน้อยลงมาก
- ผู้ประกอบการในภาคใต้ส่วนหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจแบบเดิม ๆ ต้องปิดกิจการลงจำนวนมาก โดยเฉพาะในอำเภอหาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนของภาคใต้ เนื่องจากเกิดสภาวะที่ธุรกิจถูกทำให้หยุดชะงักในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาอย่างรวดเร็ว (Digital Disruption) เนื่องจากผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์จำนวนมากขึ้น ทำให้กิจการในอำเภอหาดใหญ่ อาทิ สันติสุข ตลาดกิมหยง ซึ่งในอดีตเคยเป็นแหล่งช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ และเป็นจุดขายของเมืองหาดใหญ่ ปัจจุบันกิจการจำนวนหนึ่งต้องปิดตัวลง และที่เปิดอยู่ก็มียอดขายที่ลดลงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งต้องการสร้างโอกาสในอาชีพใหม่ ๆ เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในยุควิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ที่พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยผู้ประกอบการส่วนหนึ่งขอให้ภาครัฐจัดทำโครงการเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจในการทำธุรกิจในรูปแบบใหม่ รวมถึงให้การสนับสนุนเงินทุนเริ่มต้นแก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการนี้
- ประชาชนภาคใต้เสนอให้ภาครัฐออกนโยบายที่เป็นข้อกำหนดในเรื่องแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจจังหวัดในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวอย่างชัดเจน โดยให้แต่ละจังหวัดจัดทำแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น 1 ปี ระยะกลาง 3 ปี และระยะยาว 5 ปี เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดตนเอง โดยแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัดที่จัดทำขึ้นจะต้องดำเนินไปตามแผนจนครบ 5 ปี เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง แม้มีการเปลี่ยนผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ต้องมาดำเนินการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจนี้ โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการ ซึ่งมาจากตัวแทนของภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วนในจังหวัดนั้น ให้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะ รวมถึงตรวจสอบการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ หากจะมีการปรับเปลี่ยนแผนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
- ประชาชนภาคใต้ส่วนหนึ่งมีความกังวลจากระแสข่าวว่า ภาครัฐจะมีการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงเดือนตุลาคมนี้ โดยประชาชนมองว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศยังมีจำนวนมาก ทั้งนี้ ไม่อยากให้คนไทยต้องมาเสี่ยงกับโควิด-19 อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นต้องเปิดประเทศเพื่อสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวจากต่างชาติ ภาครัฐควรมีมาตรการที่รัดกุม และต้องให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชนได้ว่าจะไม่ทำให้ประเทศไทยต้องมาเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่ 2 เพราะหากเกิดขึ้นจริง ประชาชนมองว่า รัฐบาลไม่มีเงินที่จะมาช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบได้เหมือนที่ผ่านมา
- ประชาชนในส่วนของภาคธุรกิจเอกชนมีความกังวลว่า การชุมนุมของกลุ่มประชาชนปลดแอก หากมีความยืดเยื้อและขยายเป็นวงกว้าง อาจส่งผลและตอกย้ำเศรษฐกิจที่ตกต่ำในขณะนี้ให้ทรุดลงไปอีก จึงวอนภาครัฐหาวิธีการในรูปแบบประนีประนอม โดยให้นักวิชาการทำการศึกษาเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และการเข้าไปเจรจาพูดคุยกับกลุ่มนักเรียน นักศึกษาในแต่ละกลุ่ม ที่เป็นกลุ่มพลังบริสุทธิ์ เพื่อหาทางออกร่วมกัน
- นักเรียน และนักศึกษาภาคใต้ส่วนหนึ่งต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษา โดยให้มีการปฏิรูปการศึกษาไทย ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่นักเรียน นักศึกษามากขึ้น ในการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ในสถานศึกษาได้ รวมถึงมีช่องทางให้นักเรียน นักศึกษาสามารถส่งข้อร้องเรียนต่าง ๆ ถึงผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ เพื่อให้ปัญหาของนักเรียน นักศึกษาที่เป็นความกังวล ความเครียด ซึ่งถูกเก็บกดมาเป็นระยะเวลายาวนาน ได้รับการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วไม่ตกงาน และมีรายได้ที่เพียงพอในการดำรงชีพ
ขณะที่ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 28.30 และ 22.70 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 29.60 และ 38.20 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 35.40 35.70 และ 27.60 ตามลำดับ
ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือ ค่าครองชีพ คิดเป็นร้อยละ 25.20 รองลงมา คือ ราคาสินค้าสูง และ ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ คิดเป็นร้อยละ 22.60 และ 12.80 ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ ค่าครองชีพ รองลงมา คือ ราคาสินค้าสูง ตามลำดับ