ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนธันวาคม 2564
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนธันวาคม เปรียบเทียบ
เดือนพฤศจิกายน และคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
รายการข้อคำถาม | พฤศจิกายน | ธันวาคม | คาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้า | ||||||||
เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | |||
ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | |||
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม | 25.20 | 45.40 | 29.40 | 25.80 | 46.70 | 27.50 | 30.40 | 48.90 | 20.70 | ||
2. รายได้จากการทำงาน | 24.80 | 45.10 | 30.10 | 25.30 | 45.60 | 29.10 | 33.50 | 49.40 | 17.10 | ||
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว | 25.60 | 47.80 | 26.60 | 25.90 | 46.30 | 27.80 | 37.80 | 47.50 | 14.70 | ||
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ | 34.30 | 48.50 | 17.20 | 35.90 | 46.70 | 17.40 | 36.20 | 47.60 | 16.20 | ||
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต | 26.60 | 47.10 | 26.30 | 26.70 | 48.50 | 24.80 | 36.70 | 51.30 | 12.00 | ||
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) | 26.70 | 45.80 | 27.50 | 26.90 | 45.60 | 27.50 | 32.60 | 39.50 | 27.90 | ||
7. การออมเงิน | 26.30 | 46.40 | 27.30 | 26.50 | 46.80 | 26.70 | 34.60 | 45.20 | 20.20 | ||
8. การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ | 32.90 | 45.50 | 21.60 | 32.60 | 45.30 | 22.10 | 36.80 | 48.60 | 14.60 | ||
9. การลดลงของหนี้สิน | 31.30 | 48.40 | 20.30 | 30.70 | 48.10 | 21.20 | 34.70 | 51.70 | 13.60 | ||
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน | 25.20 | 45.20 | 29.60 | 25.60 | 45.60 | 28.80 | 32.80 | 54.10 | 13.10 | ||
11. การแก้ปัญหายาเสพติด | 28.30 | 48.10 | 23.60 | 28.20 | 47.40 | 24.40 | 39.70 | 45.10 | 15.20 | ||
12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | 27.10 | 47.20 | 25.70 | 27.20 | 45.10 | 27.70 | 32.70 | 47.80 | 19.50 | ||
13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ | 31.80 | 46.70 | 21.50 | 31.70 | 47.70 | 20.60 | 35.50 | 46.90 | 17.60 | ||
ความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม 2564
รายการข้อคำถาม | ตุลาคม | พฤศจิกายน | ธันวาคม |
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม | 42.10 | 42.40 | 42.70 |
2. รายได้จากการทำงาน | 38.90 | 39.00 | 39.20 |
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว | 49.60 | 49.80 | 49.90 |
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ | 39.40 | 39.80 | 40.30 |
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต | 47.20 | 47.30 | 47.40 |
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) | 38.50 | 38.50 | 38.80 |
7. การออมเงิน | 39.60 | 39.80 | 39.90 |
8. การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ | 44.70 | 44.10 | 43.60 |
9. การลดลงของหนี้สิน | 49.20 | 49.40 | 49.30 |
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน | 34.90 | 35.30 | 35.80 |
11. การแก้ปัญหายาเสพติด | 47.80 | 47.70 | 47.50 |
12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | 36.80 | 36.60 | 36.50 |
13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ | 32.50 | 32.70 | 32.90 |
14. ความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวม | 40.20 | 41.60 | 42.20 |
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนธันวาคม 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเดือนธันวาคม (42.20) ปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน (41.60) เดือนตุลาคม (40.20) โดยดัชนีที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภค รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) การออมเงิน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยปัจจัยบวกที่ส่งผล ได้แก่ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อ โควิด -19 เดือนธันวาคมมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าเดือนพฤศจิกายน โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดต่าง ๆ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่กลับมาดำเนินการเป็นปกติ ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน รวมถึงการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูการท่องเที่ยวให้สามารถกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามท่ามกลางความเสี่ยงที่มีมากขึ้นจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและประเทศไทยกลับมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับอัตราการแพร่เชื้อและประสิทธิภาพของวัคซีนที่ใช้อยู่ว่าสามารถป้องกันได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะขึ้นอยู่กับอัตราการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศ ความรุนแรงของโรค ประสิทธิภาพของวัคซีน และความพร้อมของระบบสาธารณสุขภายในประเทศ ทั้งนี้ จากการตั้งข้อสังเกต พบว่า ในหลายประเทศเริ่มคุมเข้มมาตรการจำกัดการเดินทางและสุขอนามัยต่าง ๆ ที่มากขึ้น ตลอดจนบางประเทศมีการประกาศปิดประเทศ ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน อันอาจนำไปสู่การประกาศล็อกดาวน์ประเทศอีกครั้ง หากภาครัฐไม่มีแนวทางการป้องกัน และมาตรการรองรับที่ถูกต้อง เหมาะสม และรวดเร็ว
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มกลับมาประกอบอาชีพ และดำเนินธุรกิจได้ค่อนข้างเป็นปกติ จึงทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเริ่มดีขึ้น แต่หากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างหนัก จนมีผู้ติดเชื้อเป็นหลัก 2 หมื่นคนต่อวันหรือมากกว่านั้น จนสาธารณสุขล่มสลาย ประเทศไทยย่อมต้องมีมาตรการล็อกดาวน์ประเทศอีกครั้ง ซึ่งเป็นการตอกย้ำความบอบซ้ำให้กับประชาชน และประเทศไทยก็จะเกิดวัฏจักรเช่นนี้ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น ภาครัฐจึงควรมีแผนและมาตรการที่ดีในการรองรับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงประชาชนในประเทศควรร่วมมือกันในการตั้งการ์ดให้สูง เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อ และการนำเชื้อไปแพร่สู่ผู้อื่น
จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ มีดังนี้
- ประชาชนมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธ์โอมิครอน ที่ก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้แพร่ระบาดในหลายจังหวัดของประเทศไทย ทั้งนี้ ภาครัฐควรมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม รวมถึงกำหนดมาตรการทางสังคมเพื่อการดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัยของประชาชน ทั้งนี้ การตัดสินใจของภาครัฐในครั้งนี้ หากเกิดความผิดพลาด ย่อมเกิดความเสียหายต่อประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้น ภาครัฐควรตัดสินใจบนพื้นฐานที่ว่า “ยอมให้เกิดความเสียหายน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่มาก”
- ประชาชนมีความต้องการให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนสินเชื่อของภาคธุรกิจในการกลับมาดำเนินธุรกิจหลังคลายล็อกดาวน์ รวมถึงสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการบริโภคของประชาชนทั่วไป เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายครัวเรือนและลดภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น
- ประชาชนมีความกังวลในเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล อันจะส่งผลต่อความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล แนวร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน เช่น การลงพื้นที่พบปะประชาชนมากขึ้น เริ่มมีการเคลื่อนย้ายกลุ่มการเมือง เพื่อเตรียมการในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทั้งนี้ ประชาชนต้องการให้ภาครัฐสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน โดยเฉพาะการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และมีความน่าเชื่อถือทั้งต่อคนในประเทศและต่างประเทศในการเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศหลังวิกฤตโควิด-19
- การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธ์โอมิครอน ทำให้มีการปิดประเทศชั่วคราว ซึ่งประชาชนมองว่า อาจจะปิดประเทศถึงครึ่งปี ส่งผลให้ธุรกิจการท่องเที่ยวที่เริ่มจะเปิดตัวได้ไม่นาน กลับต้องปิดกิจการอีกครั้ง ทั้งนี้ จึงเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบไทยเที่ยวไทยอย่างจริงจัง โดยการเพิ่มสิทธิและผลประโยชน์ให้มากขึ้น และให้สิทธิ์แก่ผู้ที่ใช้สิทธิ์ครบจำนวนแล้วในเฟส 3 รวมถึงขยายเวลาการใช้สิทธิ์จากเดิมซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนเมษายน เป็นสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2565 เพื่อให้ประชาชนได้วางแผนการท่องเที่ยว ทั้งในช่วง High Season (มกราคม-เมษายน) และช่วง Low Season (พฤษภาคม-มิถุนายน) 2565 อันจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจการท่องเที่ยว
ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 30.40 และ 33.50 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 37.80 และ 36.20 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 36.70
32.70 และ 35.50 ตามลำดับ
ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือ ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ27.40 รองลงมา คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 23.30 และ 20.50 ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรรีบดำเนินการและให้ความช่วยเหลือ อันดับแรก คือ การแก้ปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รองลงมา คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตามลำดับ