ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนมิถุนายน 2564
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนมิถุนายน เปรียบเทียบ
เดือนพฤษภาคมและคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
รายการข้อคำถาม | พฤษภาคม | มิถุนายน | คาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้า | ||||||||
เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | |||
ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | |||
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม | 24.40 | 46.70 | 28.90 | 24.10 | 46.80 | 29.10 | 35.80 | 52.60 | 11.60 | ||
2. รายได้จากการทำงาน | 25.10 | 47.40 | 27.50 | 24.80 | 47.20 | 28.00 | 27.80 | 58.20 | 14.00 | ||
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว | 24.40 | 47.70 | 27.90 | 24.80 | 48.20 | 27.00 | 30.20 | 50.40 | 19.40 | ||
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ | 35.70 | 45.30 | 19.00 | 34.50 | 45.10 | 20.40 | 32.60 | 43.70 | 23.70 | ||
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต | 26.40 | 47.90 | 25.70 | 26.90 | 47.70 | 25.40 | 30.70 | 48.60 | 20.70 | ||
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) | 26.90 | 45.40 | 27.70 | 26.60 | 45.20 | 28.20 | 29.70 | 51.60 | 18.70 | ||
7. การออมเงิน | 25.80 | 46.30 | 27.90 | 25.60 | 45.60 | 28.80 | 33.80 | 48.60 | 17.60 | ||
8. ค่าครองชีพ | 32.10 | 45.60 | 22.30 | 32.40 | 44.70 | 22.90 | 35.50 | 49.90 | 14.60 | ||
9. ภาระหนี้สิน | 28.70 | 49.40 | 21.90 | 29.90 | 48.70 | 21.40 | 32.40 | 50.10 | 17.50 | ||
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน | 24.60 | 46.80 | 28.60 | 24.40 | 46.90 | 28.70 | 30.10 | 54.60 | 15.30 | ||
11. การแก้ปัญหายาเสพติด | 28.60 | 47.40 | 24.00 | 28.80 | 47.60 | 23.60 | 32.80 | 35.70 | 31.50 | ||
12. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ | 20.50 | 47.80 | 31.70 | 31.40 | 47.30 | 21.30 | 35.60 | 45.80 | 18.60 | ||
13. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | 27.50 | 48.70 | 23.80 | 27.80 | 48.20 | 24.00 | 32.60 | 39.50 | 27.90 | ||
ความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน 2564
รายการข้อคำถาม | เมษายน | พฤษภาคม | มิถุนายน |
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม | 42.10 | 41.70 | 41.50 |
2. รายได้จากการทำงาน | 38.70 | 38.50 | 38.30 |
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว | 49.30 | 49.10 | 49.40 |
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ | 38.70 | 38.50 | 38.20 |
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต | 47.90 | 47.60 | 47.10 |
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) | 38.40 | 38.20 | 38.10 |
7. การออมเงิน | 41.30 | 41.00 | 39.70 |
8. ค่าครองชีพ | 43.60 | 43.70 | 43.80 |
9. ภาระหนี้สิน | 47.50 | 47.80 | 48.00 |
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน | 34.80 | 34.60 | 34.50 |
11. การแก้ปัญหายาเสพติด | 47.90 | 48.10 | 48.30 |
12. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ | 33.00 | 32.80 | 32.60 |
13. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | 36.50 | 36.70 | 36.80 |
14. ความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวม | 41.70 | 40.90 | 40.10 |
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนมิถุนายน 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเดือนมิถุนายน (40.10) ปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเมษายน (41.70) และเดือนพฤษภาคม (40.90) โดยดัชนีที่มีการปรับตัวลดลง ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ความสุขในการดำเนินชีวิต ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) การออมเงิน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยปัจจัยลบที่สำคัญมาจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เดือนมิถุนายนที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพของครัวเรือน อีกทั้ง ยังมีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 ที่มีความยืดเยื้อมาตั้งแต่ช่วงหลังสงกรานต์ ทำให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย และทำกิจกรรมนอกบ้านลดลงหรือไม่ได้ทำเลย อาทิ การท่องเที่ยว การช้อปปิ้ง การซื้อสินค้าจากซุปเปอร์มาร์เกต การรับประทานอาหารที่ร้าน ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าฐานะทางการเงินของครัวเรือนมีแนวโน้มเปราะบาง และยังอยู่ในช่วงระมัดระวังการใช้จ่าย นับแต่นี้จนถึงสิ้นปีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนยังคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยการฟื้นตัวของภาคส่วนต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการกระจายวัคซีนที่เริ่มปูพรมฉีดทั่วประเทศเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา หากอัตราการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ครัวเรือนและธุรกิจให้ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่สิ้นสุด ในขณะที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ ส่งผลให้การออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจยังคงมีความจำเป็นเช่นกัน รวมถึงมาตรการภาครัฐที่กำลังจะทยอยออกมา ทั้งโครงการคนละครึ่งเฟส 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ขณะที่ คาดว่าการเร่งกระจายฉีดวัคซีนจะเห็นความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งหากเร่งฉีดได้ในปริมาณที่มากพอกับการสร้างความเชื่อมั่นของครัวเรือนและธุรกิจก็จะทำให้ภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่บวกในปีนี้และปีหน้า นอกจากเรื่องของวัคซีนและการควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แล้ว ภาครัฐยังต้องเตรียมรับมือกับอีก 4 โจทย์สำคัญ ได้แก่ ภาระทางการคลัง เงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน และต้นทุนธุรกิจที่กำลังเพิ่มขึ้น อันทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลมีแผนเปิดประเทศไทย “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox)” ซึ่งมีจังหวัดภูเก็ตที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของไทยเป็นพื้นที่นำร่องในการต้อนรับนักเดินทางจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 เข็ม และแสดงผลตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 1 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป โดยไม่มีการกักตัวแต่ต้องอยู่ในภูเก็ตเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ก่อนเดินทางไปยังพื้นที่อื่นในประเทศ ประชาชนส่วนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว มองว่า “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” จะเป็นจุดเริ่มของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น ในขณะที่ประชาชนบางส่วนมีความคิดเห็นแตกต่างกัน โดยมองว่า ประเทศไทยยังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างหนัก การฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึง บุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอ และเตียงผู้ป่วยโควิด-19 ของสถานพยาบาลต่าง ๆ เต็มเกือบหมดแล้ว ดังนั้น การเปิดประเทศในช่วงนี้อาจจะเป็นการซ้ำเติมให้การบริหารจัดการโควิด-19 เป็นไปได้ยากขึ้น
จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ มีดังนี้
- แผนการจัดหาวัคซีนของภาครัฐจาก 100 ล้านโดสในปี 2564 เป็น 150 ล้านโดสในปี 2565 นั้น ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นว่าภาครัฐจะทำได้ตามแผน เนื่องจากประชาชนมองว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ทำงานเชิงรับ และไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงไม่สามารถที่จะจัดหาวัคซีนได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน จึงเสนอแนะให้นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจแห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเปิดโอกาสให้องค์กรเอกชนสามารถจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ได้โดยไม่ต้องผ่านภาครัฐ และให้พลเอกประยุทธ์ จัดประชุมกับองค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ เพื่อขอความร่วมมือและความช่วยเหลือจากภาคเอกชนในการช่วยจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้ได้มากที่สุด และรวดเร็วที่สุด
- สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำเป็นอย่างมาก จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอก 2 ช่วงต้นปี 2564 และระลอก 3 ช่วงเดือนเมษายนหลังสงกรานต์ 2564 จนถึงกลางปี 2564 สภาพเศรษฐกิจยิ่งตกต่ำลงเรื่อย ๆ ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนมองว่า ภาครัฐบริหารจัดการผิดพลาดเป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนภาคใต้ที่เคยนิยมชมชอบพลเอกประยุทธ์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และมีความซื่อสัตย์สุจริต แต่บัดนี้ประชาชนเหล่านั้นส่วนหนึ่งเกิดวิกฤติศรัทธาต่อรัฐบาล และพลเอกประยุทธ์เป็นอย่างมาก ในขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งยังคงเชื่อมั่นในตัวพลเอกประยุทธ์ และเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีความซับซ้อน และยากต่อการควบคุมได้ สังเกตได้จากหลาย ๆ ประเทศก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน อีกทั้ง ยังเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของพลเอกประยุทธ์ ในการช่วยเหลือ และเยียวยาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในทุกภาคส่วน โดยประชาชนเหล่านี้ยังให้กำลังใจพลเอกประยุทธ์ ให้อดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ รวมถึงให้พลเอกประยุทธ์ ยืนหยัดที่จะทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป
- ผลการสำรวจในหลายสำนักโพล พบว่า ความนิยมของรัฐบาล และความนิยมพลเอกประยุทธ์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 และ 2 ลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดหลายประการ อาทิ อันดับแรกที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการโควิด-19 ที่ผิดพลาด โดยเฉพาะการสื่อสารที่ล้มเหลว การจัดหาวัคซีน และฉีดวัคซีนโควิด-19 ต่ำกว่าเป้าหมายเป็นอย่างมาก รวมถึงมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น อันดับสอง การดำเนินโครงการของภาครัฐในหลายโครงการ ขาดความโปร่งใส โดยประชาชนมองว่า มีการรับสินบน และทุจริตในหน้าที่ โดยการเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง จึงเสนอให้พลเอกประยุทธ์ สั่งยกเลิกโครงการฯ ที่ไม่โปร่งใส ปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ เลือกคณะรัฐมนตรีน้ำดีและมีความรู้ความสามารถ จัดตั้งหน่วยงานที่ตรวจสอบโครงการฯ ของภาครัฐ รวมถึงสรรหาคนเก่งที่มีความรู้ความสามารถจริง และทำงานเชิงรุกเข้ามาเป็นทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อให้ข้อมูลในการตัดสินใจแก่นายกรัฐมนตรีได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 35.80 และ 27.80 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 30.20 และ 32.60 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 30.70, 35.60 และ 32.60 ตามลำดับ
ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือ ค่าครองชีพ และราคาสินค้า ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ การเยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทุกกลุ่ม และจัดหาวัคซีนให้ได้ตามเป้า