มรภ.สงขลา ผนึกภาคีเครือข่ายจัดเทศกาลของดีเกาะยอ 18-22 พ.ค. 67
มรภ.สงขลา ผนึกภาคีเครือข่ายจัดเทศกาลของดีเกาะยอ 18-22 พ.ค. 67 นำองค์ความรู้ทางวิชาการต่อยอดพัฒนาท้องถิ่น
มรภ.สงขลา จับมือ จ.สงขลา องค์กรท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย จัดงานเทศกาลของดีเกาะยอ ระหว่างวันที่ 18-22 พฤษภาคม 2567 ณ วัดโคกเปี้ยว นำองค์ความรู้ทางวิชาการร่วมพัฒนาท้องถิ่น พร้อมแถลงข่าวเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว
วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 รศ.ดร.ทัศนา ศิริโชติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (มรภ.สงขลา) ร่วมแถลงข่าวโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะยอ (เทศกาลของดีเกาะยอ) ประจำปี 2567 ณ ลานประติมากรรม รูปปั้นมโนราห์ สถาบันทักษิณคดีศึกษา ต.เกาะยอ อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา โดยได้แถลงข่าวร่วมกับ นายเศวต เพชรนุ้ย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายไพเจน มากสุวรรณ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ร.ต.ท.โกวิทย์ รัชนียะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะยอ (อบต.เกาะยอ) นายจำแลง มนต์ประสาธน์ รองประธานสภาวัฒนธรรมตำบลเกาะยอ อาจารย์เทพรัตน์ จันทพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา และ นายถาวร เสนเนียม ตัวแทนผู้ประกอบการในพื้นที่เกาะยอ
สำหรับงานเทศกาลของดีเกาะยอ จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 18-22 พฤษภาคม 2567 ณ วัดโคกเปี้ยว หมู่ที่ 5 ต.เกาะยอ ภายในงานมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ การจัดนิทรรศการของดีเกาะยอในมิติต่าง ๆ การออกร้านจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน การแสดงทางวัฒนธรรม การประกวดสาวงามเกาะยอ การแข่งขันทำสำรับเกาะยอ การอาบมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากบ่องอ พิธีสมโภชผ้าห่มเจดีย์เขากุฏ การรำถวายสมเด็จเจ้าเกาะ แสดงดนตรี แสง สี เสียงจากนักร้องชื่อดัง และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย
รศ.ดร.ทัศนา ศิริโชติ อธิการบดี มรภ.สงขลา กล่าวว่า ต.เกาะยอ เป็นพื้นที่บริการวิชาการภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งทางมหาวิทยาลัยมีนโยบายให้แต่ละคณะลงพื้นที่ที่จะลงไปพัฒนาชุมชนต่าง ๆ โดยได้มีการน้อมนำหลักการทรงงาน เข้าใจ เข้าถึง และ พัฒนา กล่าวคือ ต้องลงไปสำรวจชุมชนและสอบถามความคิดเห็นของชุมชนว่าต้องการให้พัฒนาชุมชนของตนเองอย่างไร ซึ่งคณาจารย์ในคณะต่าง ๆ ของ มรภ.สงขลา ได้ร่วมมือกันนำองค์ความรู้ทางวิชาการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นตามศักยภาพของคณะ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา มรภ.สงขลา มีการทำวิจัยในพื้นที่ชุมชนเกาะยออย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยล่าสุดทางมหาวิทยาลัยได้รื้อฟื้นประเพณีลากพระสรงน้ำ ซึ่งจัดไปเมื่อวันที่ 10-12 เมษายน ที่ผ่านมา เป็นมติของประชาคมที่เราลงมาร่วมมือกันรื้อฟื้นประเพณีเก่าแก่นี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเพณีลากพระสรงน้ำจะต่อยอดเป็นอัตลักษณ์ของชาวชุมชนเกาะยอต่อไป ซึ่งในการจัดงานของดีเกาะยอในปีนี้ มรภ.สงขลา มีส่วนร่วมในหลายภาคส่วนด้วยกัน ทั้งในส่วนของการแสดงและการประกวดสำรับเกาะยอที่ มรภ.สงขลา ลงมาช่วยในการขับเคลื่อน มีทั้งของหวาน ของคาว และเครื่องดื่ม เชื่อว่าน่าจะมีเมนูแปลกใหม่ที่หลากหลาย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพิ่มมูลค่าให้กับของดีของชาวเกาะยอ
ด้าน ร.ต.ท. โกวิทย์ รัชนียะ นายก อบต.เกาะยอ กล่าวว่า การจัดโครงการในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่มาร่วมคิดออกแบบกิจกรรม เพื่อให้งานออกมาอย่างดีที่สุด วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการร้านค้าและประชาชนในตำบลเกาะยอ ตลอดจนเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มีโอกาสรู้จักแหล่งท่องเที่ยวและสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนของ ต.เกาะยอ และเพื่อบูรณาการการทำงานด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
การจัดงานในครั้งนี้ตนและชาวเกาะยอทุกคนมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ผู้ที่มาร่วมงานได้รู้จักเกาะยอมากขึ้น เราต้องการนำเสนอความเป็นเกาะยอในทุกมิติให้ได้เห็นว่าชาวเกาะยอมีศักยภาพและมีความพร้อมในการจะเป็นเจ้าบ้านที่ดีเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้สมกับที่ได้รับรางวัลการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอาเซียน ภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ประจำปี 2567 อยากเชิญชวนมาเที่ยวงานเทศกาลของดีเกาะยอ เพราะเกาะยอรอให้ท่านหลงรัก
มรภ.สงขลา ส่งอาจารย์ร่วมบ่มเพาะนักวิจัยรุ่นใหม่ (ลูกไก่) รุ่นที่ 4
มรภ.สงขลา ส่งอาจารย์ร่วมบ่มเพาะนักวิจัยรุ่นใหม่ (ลูกไก่) รุ่นที่ 4
สถาบันวิจัยฯ มรภ.สงขลา คัดเลือกตัวแทนอาจารย์ส่งเข้าร่วมฝึกอบรม “สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่” (ลูกไก่) รุ่นที่ 4 จัดโดย วช. ร่วมกับ ม.วลัยลักษณ์ เปิดโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์วิจัยและนวัตกรรมอย่างมีระบบ
มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (มรภ.สงขลา) โดยสถาบันวิจัยและพัฒนา ได้เปิดรับสมัครและคัดเลือกนักวิจัยเข้าร่วมโครงการฝึกอบรม “สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่” (ลูกไก่) รุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ระหว่างวันที่ 29 เมษายน- 3 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องภัทรธรรมาภรณ์ ชั้น 9 อาคาร B มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช โดยมี อาจารย์เพียรผจง อินต๊ะรัตน์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ อาจารย์วรกร ภูมิวิเศษ อาจารย์อริสา ถาวรประเสริฐ อาจารย์พิมใจ พรหมสุวรรณ อาจารย์เปรมภาว์ ด้วงทอง อาจารย์ผกามาศ ไพโรจน์ จากคณะวิทยาการจัดการ และ อาจารย์นรารัตน์ ทองศรีนุ่น คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าร่วมการอบรม
การอบรมดังกล่าวจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัย ให้มีความรู้และประสบการณ์ในการทำวิจัยอย่างมีระบบ ถือเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการวิจัยและนวัตกรรมในมิติใหม่ที่มีการบูรณาการระหว่างสาขา และส่งเสริมให้นักวิจัยมีวิสัยทัศน์กว้างไกล การจัดฝึกอบรมสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ (ลูกไก่) จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนานักวิจัย รวมถึงเป็นการสร้างเครือข่ายนักวิจัยที่จะสามารถทำงานวิจัยร่วมกันได้ อันจะนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอโครงการที่มีลักษณะบูรณาการและนำไปสู่การใช้ประโยชน์ได้ โดยมีผู้ผ่านการสมัครจำนวน 65 คน ผู้เข้าอบรมจะต้องผ่านหลักสูตรภาคทฤษฎี 19 ชั่วโมง ภาคปฏิบัติ 19 ชั่วโมง และกิจกรรมเสริมหลักสูตร 2 ชั่วโมงตามที่ วช. กำหนด
อาจารย์เปรมภาว์ ด้วงทอง คณะวิทยาการจัดการ มรภ.สงขลา หนึ่งในผู้เข้าอบรม กล่าวถึงความรู้สึกในการเข้าอบรมโครงการลูกไก่ว่า ถือเป็นโครงการที่เข้มข้นมาก ผู้เข้าอบรมต้องใช้พลังค่อนข้างมาก วิทยากรพร้อมให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำวิจัยโดยเน้นการหาแหล่งทุนสนับสนุนการทำวิจัย เพื่อให้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ และช่วยเพิ่มโอกาสในการหาแหล่งเงินทุนวิจัย คิดว่าเป็นโครงการที่เหมาะสำหรับนักวิจัยเชิงพื้นที่ เน้นช่วยแก้ปัญหาชุมชนซึ่งสอดคล้องกับ มรภ.สงขลา แต่เนื่องจากหลักสูตรค่อนข้างใช้เวลานาน และมุ่งเน้นงานที่ตอบโจทย์ของ วช. ดังนั้น จึงอาจไม่เหมาะกับนักวิจัยที่ใหม่มากๆ หรือวิจัยเชิงทฤษฎี หากต้องการมาเพิ่มความรู้ในงานวิจัยอาจไม่ตรง แต่หากต้องการมาหาวิธีหาแหล่งทุนถือว่าเหมาะสมมาก
การแถลงข่าวการจับกุมเรือประมงเวียดนามของผู้บังคับบัญชา
การแถลงข่าวการจับกุมเรือประมงเวียดนามของผู้บังคับบัญชา ในอาทิตย์ที่ 12 พ.ค. 67
ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 ทัพเรือภาคที่ 6 ได้รับแจ้งเบาะแสจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่ามีกลุ่มเรือประมงต่างชาติ เข้ามาทำการประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำไทย บริเวณแบริ่ง 132 ระยะ 43.1 ไมล์จากปากร่องน้ำสงขลา ซึ่งอยู่ในเขตน่านน้ำภายใน
พลเรือโท พิจิตต ศรีรุ่งเรือง ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2ได้สั่งการให้ เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง หมายเลข 236 ทำการลาดตระเวนตรวจสอบ โดยร่วมกับศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค2 และ กองกำกับการ กองบังคับการตำรวจน้ำ จัดกำลังประกอบด้วย เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง หมายเลข 236 ชุดปฏิบัติการพิเศษ จำนวน 4 นาย พร้อมด้วยเรือยางและอุปกรณ์ จำนวน 1 ลำ เรือตำรวจน้ำหมายเลข 352 และเรือ RHIB โดยระหว่างเวลา 13.30 – 19.00 ได้ตรวจพบกลุ่มเรือประมงสัญชาติเวียดนาม จำนวน 5 ลำ ผู้ควบคุมพร้อมลูกเรือรวม 25 คน บริเวณบริเวณแบริ่ง 143 ระยะ 40 ไมล์ จากปากร่องน้ำสงขลา จึงได้ควบคุมเรือพร้อมลูกเรือทั้งหมด มายังท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม และส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
การดำเนินคดีกับเรือประมงสัญชาติเวียดนามในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการจับกุมในพื้นที่เขตน่านน้ำ ภายในจึงได้ตั้งข้อกล่าวหาผู้กระทำความผิดไว้ 3 ข้อหา ดังนี้
1. ใช้เรือประมงไร้สัญชาติทำการประมงในเขตการประมงไทย (ตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 ประกอบ มาตรา 123)
2. ร่วมกันทำการประมงพาณิชย์โดยไม่มีใบรับอนุญาตทำการประมง (ตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 36 ประกอบ มาตรา 129)
3. ทำการประมงในเขตการประมงไทยโดยทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมเรือโดยไม่ได้รับอนุญาต (ตาม พ.ร.ก.ว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย พ.ศ.2482 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา 11 วรรคหนึ่ง)
สำหรับการจับกุมเรือประมงต่างชาติในพื้นที่ทัพเรือภาคที่ 2 ในปีงบประมาณ2567 ตั้งแต่ตุลาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมรวมในครั้งนี้แล้วจำนวน 7 ครั้ง จับกุมเรือทั้งหมด 12 ลำ ผู้ควบคุมเรือพร้อมลูกเรือรวม จำนวน 61 คน
ทั้งนี้การปฏิบัติดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ ปี 2567 โดยร่วมกับ ศรชล.ภาค2 ในการประสานการปฏิบัติ ตั้งแต่ด้านการข่าว และจัดกำลังทางเรือ และอากาศนาวีลาดตระเวน เฝ้าตรจ และคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นย้ำการรุกล้ำน่านน้ำไทยของเรือประมงต่างชาติ เพื่อเข้ามาทำการประมงโดยผิดกฎหมาย จนประสบความสำเร็จในการจับกุมในครั้งนี้
ท้ายนี้ ทัพเรือภาคที่ 2 ขอขอบคุณพี่น้องขาวประมง ในความร่วมมือที่ได้แจ้งเบาะแสของเรือที่กระทำความผิด และขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนและชาวประมงไทยว่า “ในพื้นที่รับผิดชอบของทัพเรือภาคที่ 2 ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 113,275 ตารางกิโลเมตร นั้น เราจะปกป้อง และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มความสามารถ โดยมิยอมให้เรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรใน การทำการประมงเป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อให้ทรัพยากรของประเทศไทย คงอยู่กับลูกหลานของคนไทยตลอดไป
CR/23
กอ.รมน.ภาค 4 สน. ขอความร่วมมือ ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการใช้อากาศยานที่ใช้การควบคุมการบินจากภายนอก (Drone : โดรน)
วันพืชมงคล : The Royal Ploughing Ceremony
วันพืชมงคล : The Royal Ploughing Ceremony
วันพืชมงคล ประจำปี 2567 ตรงกับวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม (ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 6) เป็นวันสำคัญที่กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย มีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพระราชพิธีโบราณ สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ประวัติวันพืชมงคล
วันพืชมงคล หมายถึง วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่ามาแต่โบราณที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระราชพิธีนี้จะกระทำที่ท้องสนามหลวง ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัย และให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี
พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พิธีแรกนา เป็นพระราชพิธีที่มีมาแต่โบราณตั้งแต่ครั้งสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ไม่ได้ลงมือไถนาเอง เป็นแต่เพียงเสด็จไปเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีเท่านั้น ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ไม่ได้เสด็จไปเป็นองค์ประธาน แต่จะมอบอาญาสิทธิ์ให้โดยทรงทำเหมือนอย่างออกอำนาจจากกษัตริย์ และจะทรงจำศีลเงียบ 3 วัน ซึ่งวิธีนี้ได้ใช้ตลอดมาถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
ต่อมา สมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 1 ได้โปรดให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญแทนพระองค์ และมิได้ถือว่าเป็นพิธีหน้าพระที่นั่ง เว้นแต่เมื่อมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตร สถานที่ประกอบพิธีในตอนแรก ๆ จึงไม่ตายตัว แล้วแต่จะทรงกำหนดให้ ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดมีพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้นในพระราชพิธีต่าง ๆ ทุกพิธี ดังนั้น “พระราชพิธีพืชมงคล”จึงได้เริ่มมีขึ้นแต่บัดนั้นมา โดยได้จัดรวมกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และมีชื่อเรียกรวมกันว่า “พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ” ส่วนพิธีกรรมนอกเหนือจากการทำให้เป็นตัวอย่าง ตามที่ทรงจำแนกไว้ 3 อย่าง 2 อย่างแรก ที่ว่า “อาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคลตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง” นั้น ทรงหมายถึง “พิธีพืชมงคล” อันเป็นพิธีสงฆ์ที่กระทำ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่ว่า “บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง” นั้น ทรงหมายถึงพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญอันเป็นพิธีพราหมณ์ ดังนั้น จึงพอจะสรุปความมุ่งหมายอันเป็นมูลเหตุให้เกิดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นี้ได้ว่าพิธีแรกนามุ่งหมายที่จะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร เพื่อชักนำให้มีความมั่นใจในการทำนา อันเป็นอาชีพหลักที่สำคัญของคนไทยที่มีมาแต่ช้านานสืบมาจนปัจจุบันยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะการเกษตรซึ่งมีการทำนาเป็นหลักนั้น เป็นสิ่งสำคัญแก่ชีวิตความเป็นอยู่และการเศรษฐกิจของประเทศทุกสมัย
ส่วนวันประกอบพิธีนั้น ต้องเป็นวันที่ดีที่สุดของแต่ละปี ประกอบด้วย ขึ้น แรม ฤกษ์ยาม ให้ได้วันอันเป็นอุดมฤกษ์ตามตำราโหราศาสตร์ แต่ต้องอยู่ในระหว่างเดือน 6 เพราะเดือนนี้เริ่มจะเข้าฤดูฝน เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จะได้เตรียมทำนา เมื่อโหรหลวงคำนวณได้วันอุดมมงคลพระฤกษ์ ที่จะประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแล้ว สำนักพระราชวังจะได้ลงไว้ในปฏิทินหลวง ที่พระราชทานในวันขึ้นปีใหม่ทุกปี และได้กำหนดไว้ว่าวันใดเป็นวันพืชมงคล วันใดเป็นวันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแต่เดิมมาทำที่ทุ่งนาพญาไท เมื่อได้มีการฟื้นฟูพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นใหม่ จึงจัดให้มีขึ้นที่ท้องสนามหลวง ทั้งนี้ วันแรกนาขวัญเป็นวันสำคัญของชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติให้หยุดราชการ 1 วัน และมีประกาศให้ชักธงชาติตามระเบียบทางราชการ พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งข้าวที่นำเข้าพิธีพืชมงคลนั้นเป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้มีเมล็ดพืชต่าง ๆ รวม 40 อย่าง แต่ละอย่างบรรจุถุงผ้าขาว นอกจากนี้ยังมีข้าวเปลือกที่หว่านในพิธีแรกนา บรรจุกระเช้าทองคู่หนึ่งและเงินคู่หนึ่ง เป็นข้าวพันธุ์ดีที่โปรดฯ ให้ปลูกในสวนจิตรลดา และพระราชทานมาเข้าพิธีพืชมงคล โดยพันธุ์ข้าวพระราชทานนี้จะใช้หว่านในพระราชพิธีแรกนาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่เหลือทางการจะบรรจุซอง แล้วส่งไปแจกจ่ายแก่ชาวนาและประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ให้เป็นมิ่งขวัญและเป็นสิริมงคลแก่พืชผลที่จะเพาะปลูกในปีนี้
ทั้งนี้ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปัจจุบันนี้ได้ดำเนินตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี เว้นแต่บางอย่างได้มีการดัดแปลงให้เหมาะแก่กาลสมัย อาทิ พิธีของพราหมณ์ก็มีการตัดทอนให้เหลือน้อยลง พระยาแรกนาก็ให้ตกเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนเทพีนั้นคัดเลือกจากข้าราชการสตรีโสดในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระดับ 3 – 4 คือขั้นโทขึ้นไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระราชพิธีทุกปี มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทูตานุทูต และประชาชนได้มาชมการแรกนาเป็นจำนวนมาก สำหรับการประกอบพิธีนั้นก็จะถูกกำหนดขึ้นโดยโหรหลวง ในระหว่างพิธีอันสวยงามนี้ ก็จะมีการทำนาย ปริมาณน้ำฝน ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง และแล้วพระยาแรกนาก็จะทำการเลือกผ้า 3 ผืน ที่มีความยาวต่างขนาดกัน ตามชอบใจ ผ้าทั้ง 3 ผืน นี้จะดูคล้ายกัน ถ้าพระยาแรกนาเลือกผืนที่ยาวที่สุดก็ทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมีน้อย ถ้าเลือกผืนที่สั้นที่สุดทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมาก และถ้าเลือกผืนที่มีความยาวปานกลาง ทายว่ามีปริมาณน้ำฝนพอประมาณ หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียกว่า “ผ้านุ่ง” เรียบร้อยแล้ว พระยาแรกนาก็จะไถลงไปบนพื้นที่ท้องสนามหลวงด้วยพระนังคัลสีแดงและสีทอง ซึ่งลากโดยพระโคผู้สีขาว ตามขบวนด้วยเทพีทั้ง 4 ผู้ซึ่งหาบกระเช้าทองและกระเช้าเงินที่บรรจุด้วยเมล็ดข้าวเปลือก นอกจากนี้ก็มีคณะพราหมณ์เดินคู่ไปกับขบวนพร้อมทั้งสวดและเป่าสังข์ไปพร้อมกัน เมื่อเสร็จจากการไถแล้วพระโคก็จะได้รับการป้อนพระกระยาหารและเครื่องดื่ม 7 ชนิด คือ เมล็ดข้าว ถั่ว ข้าวโพด หญ้าเมล็ดงา น้ำ และเหล้า ไม่ว่าพระโคจะเลือกกินหรือดื่มสิ่งใด ก็ทายว่าปีนี้จะอุดมสมบูรณ์ด้วยสิ่งที่พระโคเลือกนั้น
เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ประชาชนจะพากันแย่งเก็บเมล็ดข้าวที่หว่านโดยพระยาแรกนา เพราะว่าเมล็ดข้าวนี้ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มีไว้ในครอบครอง ชาวนาก็จะใช้เมล็ดข้าวนี้ผสมกับเมล็ดข้าวของตน เพื่อให้พืชผลในปีที่จะมาถึงนี้อุดมสมบูรณ์ สำหรับพระโคที่จะเข้าพระราชพิธีแรกนาขวัญ จะถูกเลี้ยงดูอย่างดีในทุ่งหญ้าที่จังหวัดราชบุรี พระโคที่ใช้ในพระราชพิธี จะต้องมีลักษณะที่ดีขาดเกินไม่ได้คือ หูดี ตาดี แข็งแรง เขาทั้งสองตั้งตรงสวยงาม พระโคแต่ละคู่ต้องสีเหมือนกัน ซึ่งจะมีการคัดเลือกพระโคเพียงสองสีเท่านั้น คือ สีขาวสำลีและสีน้ำตาลแดง และเจาะจงแต่เพศผู้เท่านั้นและต้องผ่านการ “ตอน” เสียก่อนด้วย อนึ่ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นวันเกษตรกรประจำปีอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรพึงระลึกถึงความสำคัญของการเกษตร และร่วมมือกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพของตน
การเสี่ยงทาย วันพืชมงคล
วันพืชมงคล : ผ้านุ่งแต่งกาย ผ้านุ่งซึ่งพระยาแรกนาตั้งสัตยาธิษฐานหยิบนั้นเป็นผ้าลายมีด้วยกัน 3 ผืน คือ หกคืบ ห้าคืบ และสี่คืบ ผ้านุ่งนี้จะวางเรียงบนโตกมีผ้าคลุมเพื่อให้พระยาแรกนาขวัญหยิบ ถ้าหยิบได้ผืนใดก็จะมีคำทำนายไปตามกันคือ
• ถ้าหยิบผ้าได้ 4 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะมากสักหน่อย นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่มอาจจะเสียหายบ้างได้ผลไม่เต็มที่
• ถ้าหยิบได้ผ้า 5 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำในปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์ และผลาหาร มังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี
• ถ้าหยิบได้ผ้า 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอน จะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่ การเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่ง ในวันพืชมงคล
วันพืชมงคล : ของกิน 7 สิ่งที่ตั้งเลี้ยงพระโคนั้นมี ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ำ และหญ้า ถ้าพระโคกินสิ่งใดก็จะมีคำทำนายไปตามนั้นคือ
• ถ้าพระโคกินข้าวหรือข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหาร จะบริบูรณ์ดี
• ถ้าพระโคกินถั่วหรืองา พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี
• ถ้าพระโคกินน้ำหรือหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควรธัญญาหารผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์
• ถ้าพระโคกินเหล้า พยากรณ์ว่า การคมนาคมจะสะดวกขึ้น การค้าขายกับ ต่างประเทศดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง
ข้อมูล : http://th.wikipedia.org/wiki/แรกนาขวัญ, https://www.moac.go.th/royal_ploughing-history
วันพืชมงคลปี 2567 พระยาแรกนาเสี่ยงทายหยิบผ้าได้ 5 คืบ น้ำปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์
พระโคกิน “น้ำ – หญ้า -เหล้า” น้ำท่าบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารอุดมสมบูรณ์ การคมนาคมสะดวก การค้าขายกับต่างประเทศดีขึ้น เศรษฐกิจรุ่งเรือง
มรภ.สงขลา แลกเปลี่ยนความร่วมมือ ม.วิทยาศาสตร์ฯ ผิงตง ไต้หวัน ส่ง 15 อาจารย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านวิจัย-การเรียนการสอน
งานแถลงข่าว 🏃🏻♀️ เดิน – วิ่งมาราธอน 2024 ครั้งที่ 16
ท่าอากาศยานหาดใหญ่จะมีเที่ยวบินพิเศษ เทศกาลฮัจย์ ประจำปี 2567 (ฮ.ศ. 1445)
จังหวัดสงขลา แถลงข่าวความพร้อมจัดการแข่งขันฟุตบอลสงขลาคัพ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2567
จังหวัดสงขลา แถลงข่าวความพร้อมจัดการแข่งขันฟุตบอลสงขลาคัพ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2567
ชิงเงินรางวัลกว่า 500,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ ในระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2567 นี้
วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2567 เวลา 16.00 น. นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร นายอำนวย พิณสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ร่วมแถลงข่าวความพร้อมการจัดการแข่งขันฟุตบอลสงขลาคัพ ครั้งที่ 1 ชิงเงินรางวัลกว่า 500,000 บาท พร้อมถ้วย โดยมีนายสุรสิทธิ์ ศรีอินทร์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา นางสาววิลาวรรณ โป้บุญส่ง ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยนายอำเภอ ผู้แทนนายอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการกีฬาจังหวัดสงขลา ผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ โรงแรมลากูน่าแกรนด์ โฮเทล แอนด์สปา สงขลา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
จังหวัดสงขลา โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสงขลา ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ดำเนินการจัดการแข่งขันฟุตบอลสงขลาคัพ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนในพื้นที่ 16 อำเภอของจังหวัดสงขลาได้ออกกำลังกาย โดยการเล่นกีฬาฟุตบอล พัฒนาความสามารถด้านทักษะกีฬาฟุตบอล และสร้างความรัก ความสามัคคีของประชาชนในแต่ละพื้นที่ให้มีความรัก ความเข้าใจ โดยกำหนดการแข่งขันในระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ณ สนามกีฬาต่าง ๆ ภายในจังหวัดสงขลา
นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จังหวัดสงขลา มีแนวทางการพัฒนาจังหวัดสงขลา ในประเด็นการพัฒนาจังหวัดที่ 2 พัฒนา ส่งเสริมการท่องเที่ยว การกีฬาและบริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน โดยการแข่งขันกีฬาจะสามารถช่วยพัฒนาให้คนมีระเบียบ วินัย ในการฝึกซ้อม แข่งขัน เคารพกติกา การตัดสินและการทำงานร่วมกัน อีกทั้งการเล่นกีฬานั้น สามารถเสริมสร้างความสุขแก่ประชาชนสู่เมืองแห่งความสุข สุขภาวะดี ทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือของคนในชุมชนที่ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขัน ทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาการใช้สารเสพติด เพราะการแข่งขันกีฬาจำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมและรักษาสภาพความฟิตของร่างกายที่ต่อเนื่องเพื่อให้มีความพร้อมในการทำการแข่งขัน
สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ แบ่งพื้นที่การแข่งขันออกเป็น 4 โซนการแข่งขัน โดยนำเอาทีมตัวแทนของ 16อำเภอ มาร่วมทำการแข่งขัน เพื่อหาตัวแทนของแต่ละโซนการแข่งขัน เพื่อชิงชนะเลิศเป็นแชมป์ของจังหวัดสงขลา ใน 4 ประเภทการแข่งขัน ประกอบด้วย 1. ประเภทเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี จำนวน 16 ทีม , 2. ประเภทเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี จำนวน 16 ทีม, 3. ประเภทประชาชน รุ่นทั่วไป จำนวน 16 ทีม และ 4. รุ่นอาวุโส อายุ 40 ปีขึ้นไป จำนวน 16 ทีม โดยมีคณะกรรมการผู้ตัดสินจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ผ่านการสอบคัดเลือกขึ้นทะเบียนเป็นผู้ตัดสินสมาคมฯ มาตัดสินการแข่งขัน
ทั้งนี้ ในการแข่งขันรอบแรก แบ่งกลุ่มการแข่งขันออกเป็น 4 กลุ่ม ๆ ละ 4 ทีม ประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 ได้แก่ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย และ อำเภอจะนะ แข่งขัน ณ สนามกีฬากลางอำเภอนาทวี เทศบาลตำบลนาทวี และสนามโรงเรียนนา ทวีวิทยาคมอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
กลุ่มที่ 2 ได้แก่ อำเภอเมืองสงขลา อำเภอบางกล่ำ อำเภอควน เนียง และอำเภอรัตภูมิ แข่งขัน ณ สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา,
กลุ่มที่ 3 ได้แก่ อำเภอสิงหนคร อำเภอสทิงพระ อำเภอกระแส สินธุ์ และอำเภอระโนด แข่งขัน ณ สนามกีฬาโรงเรียนระโนดวิทยา อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา
กลุ่มที่ 4 ได้แก่ อำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อม อำเภอคลองหอยโข่ง และอำเภอสะเดา แข่งขัน ณ สนามภูริวิจิตร องค์การบริหารส่วนตำบลคลองหรัง อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา
และในรอบชิงชนะเลิศนั้น จะทำการแข่งขัน ณ สนามกีฬาติณสูลานนท์ อำเภอเมืองสงขลา
มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สร้างชุมชนส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งชันโรง
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนทั่วไป ที่เข้าร่วมอุปสมบท ได้ร่วมกันบำเพ็ญปฏิบัติถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-15 ธันวาคม 2559 ณ วัดมหัตตมังคลลราม (วัดหาดใหญ่ใน) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
โดยในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 เวลา 13.00 น. มีพิธีบวชนาค และในวันที่ 1 ธันวาคม 2559 เวลา 13.00 น.มีพิธีอุปสมบท