ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนกันยายน 2564
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนกันยายน เปรียบเทียบ
เดือนสิงหาคม และคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
รายการข้อคำถาม | สิงหาคม | กันยายน | คาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้า | ||||||||
เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | |||
ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | |||
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม | 24.10 | 44.40 | 31.50 | 24.40 | 44.80 | 30.80 | 35.60 | 51.30 | 13.10 | ||
2. รายได้จากการทำงาน | 23.30 | 45.70 | 31.00 | 23.50 | 45.90 | 29.60 | 30.40 | 48.90 | 20.70 | ||
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว | 24.30 | 48.20 | 27.50 | 24.60 | 48.50 | 26.90 | 34.60 | 45.20 | 20.20 | ||
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ | 33.40 | 46.30 | 20.30 | 33.60 | 46.10 | 20.30 | 34.70 | 51.70 | 13.60 | ||
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต | 26.20 | 47.10 | 26.70 | 26.40 | 47.00 | 26.60 | 32.80 | 54.10 | 13.10 | ||
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) | 26.10 | 45.20 | 28.70 | 26.30 | 45.60 | 28.10 | 39.70 | 45.10 | 15.20 | ||
7. การออมเงิน | 25.20 | 44.80 | 30.00 | 25.90 | 44.00 | 30.10 | 36.20 | 47.60 | 16.20 | ||
8. ค่าครองชีพ | 32.30 | 44.30 | 23.40 | 32.60 | 44.60 | 22.80 | 36.70 | 51.30 | 12.00 | ||
9. ภาระหนี้สิน | 30.60 | 48.10 | 21.30 | 31.50 | 48.00 | 20.50 | 32.60 | 39.50 | 27.90 | ||
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน | 24.30 | 45.60 | 30.10 | 27.10 | 45.80 | 27.10 | 37.80 | 47.50 | 14.70 | ||
11. การแก้ปัญหายาเสพติด | 28.60 | 48.60 | 22.80 | 28.50 | 48.40 | 23.10 | 36.80 | 48.60 | 14.60 | ||
12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | 27.50 | 48.00 | 24.50 | 27.70 | 48.20 | 24.10 | 34.10 | 55.80 | 10.10 | ||
13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ | 31.10 | 46.70 | 22.20 | 31.30 | 46.80 | 21.90 | 35.40 | 48.30 | 16.30 | ||
ความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 2564
รายการข้อคำถาม | กรกฎาคม | สิงหาคม | กันยายน |
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม | 41.20 | 41.10 | 41.90 |
2. รายได้จากการทำงาน | 38.00 | 37.90 | 38.70 |
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว | 49.10 | 49.00 | 49.50 |
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ | 37.80 | 37.60 | 38.10 |
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต | 46.80 | 46.50 | 47.00 |
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) | 37.90 | 37.70 | 38.20 |
7. การออมเงิน | 39.40 | 39.30 | 39.50 |
8. ค่าครองชีพ | 44.00 | 43.80 | 44.30 |
9. ภาระหนี้สิน | 48.40 | 48.90 | 49.10 |
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน | 34.30 | 34.20 | 34.80 |
11. การแก้ปัญหายาเสพติด | 48.40 | 48.20 | 47.90 |
12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | 36.30 | 36.00 | 36.50 |
13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ | 32.30 | 32.20 | 32.40 |
14. ความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวม | 39.60 | 39.40 | 39.70 |
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนกันยายน 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเดือนกันยายน (39.70) ปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม (39.40) เดือนกรกฎาคม (39.60) โดยดัชนีที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ความสุขในการดำเนินชีวิต ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) การออมเงิน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยปัจจัยบวกที่ส่งผลได้แก่ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด -19 เดือนกันยายน มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าเดือนสิงหาคม อีกทั้ง ผู้หายป่วยกลับบ้านมากกว่ายอดป่วยติดเชื้อโควิด-19 รายวัน ในขณะที่จำนวนผู้ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลดังกล่าวมาจากการดำเนินงานในลักษณะบูรณาการและประสานความร่วมมือของพนักงานเจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนในการระดมสรรพกำลังเพื่อควบคุมและป้องกันโรค อีกทั้ง การบริการฉีดวัคซีนในหลายพื้นที่เป็นไปตามแผน
ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้สรุปการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย สะสมมากกว่า 50 ล้านโดส และเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศ ร้อยละ 80 ขึ้นไป เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก และกระจายชุดตรวจให้กับประชาชนเพื่อทำการตรวจหาเชื้อด้วยตนเอง โดยการดำเนินการและกำกับดูแลเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคในระยะยาวตามที่ได้ประกาศไว้ ได้แก่ มาตรการควบคุมโควิด-19 แนวใหม่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างปลอดภัย มาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล และมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร ทั้งนี้ ภาครัฐจึงปรับมาตรการผ่อนคลายความเข้มงวดบางกรณีให้มีความเหมาะสม โดยกำหนดมาตรการควบคุมเท่าที่จำเป็น ตามระดับพื้นที่ของสถานการณ์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศ ดำเนินควบคู่กับการควบคุมโรคอย่างสมดุล ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงปลายเดือนกันยายนค่อนข้างทรงตัวและมีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ภาครัฐจึงออกข้อกำหนดผ่อนคลายมาตรการมาตรการล็อกดาวน์ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 อีกทั้ง ให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการดำเนินงาน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ อีกทั้ง มีแนวทางการเปิดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้วในบางจังหวัด และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในอนาคต
จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ มีดังนี้
- รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมาตรการระยะสั้น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน ลดหย่อนภาษี และกระตุ้นการท่องเที่ยว ส่วนมาตรการระยะยาว มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและรักษาฐานการผลิต ผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ ๆ โดยการลงทุนของภาครัฐเอง และการลงทุนแบบเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) อีกทั้ง สร้างบรรยากาศการลงทุน และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
- ผู้ปกครองส่วนหนึ่งมีความกังวลต่อความปลอดภัยในการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่บุตรหลานที่มีอายุ 12-18 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว จึงเสนอแนะให้ภาครัฐศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และจัดทำเป็นเอกสารชี้แจงให้แก่ผู้ปกครองได้รับทราบก่อนตัดสินใจให้บุตรหลานฉีดวัคซีนโควิด-19
- ประชาชนส่วนหนึ่งมีความกังวลต่อการผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ว่าภาครัฐจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้หรือไม่ อีกทั้ง การปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของภาคธุรกิจและประชาชนจะมีความเข้มงวดเพียงใด เนื่องจากประชาชนในประเทศยังฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่ถึงร้อยละ 80 ซึ่งยังไม่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ดังนั้น หากการควบคุมไม่ดีอาจจะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงกว่าเดิม
ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 35.60 และ 30.40 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 34.60 และ 34.70 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 32.80 , 34.10 และ 35.40 ตามลำดับ
ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือ มาตรการควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 26.40 รองลงมา คือ ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ และค่าครองชีพ คิดเป็นร้อยละ 18.30 และ 15.80 ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ การปรับมาตรการให้ธุรกิจดำเนินงานได้ปกติ รองลงมา คือ การพักหนี้ของประชาชน การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยว ตามลำดับ