NARIT ประกาศดาราศาสตร์ไทยขึ้นแท่นอันดับหนึ่งอาเซียน พร้อมเปิดตัวแนวคิด “Astronomy+” เสริมสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้สังคมไทยและสังคมโลก
28 มกราคม 2568 – กรุงเทพฯ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เผยดาราศาสตร์ไทยก้าวขึ้นสู่ระดับแถวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมประกาศแนวคิด “Astronomy+” ที่มุ่งขยายบทบาทของดาราศาสตร์ในหลายมิติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสู่ประเทศไทย
![]() |
![]() |
ดร. ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า ดาราศาสตร์ไม่เป็นเพียงการศึกษาท้องฟ้า หรือดูดาว แต่การศึกษาวิจัยดาราศาสตร์ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงโลกที่ใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น Wifi กล้องดิจิทัล MRI ฯลฯ การลงทุนในดาราศาสตร์ไม่เพียงแต่สร้างเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ยังช่วยพัฒนากำลังคนและสร้างแรงบันดาลใจได้ดีกว่าวิทยาศาสตร์ในสาขาอื่น ๆ
16 ปีที่ผ่านมา NARIT มุ่งใช้โจทย์ที่ท้าทายที่สุดทางดาราศาสตร์ เป็นเครื่องมือผลักดันนวัตกรรมล้ำหน้า ผลักดันเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในงานวิจัย ใช้ดาราศาสตร์เป็นเครื่องมือสร้างจินตนาการ สร้างแรงบันดาลใจในการศึกษาวิทยาศาสตร์ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
![]() |
![]() |
NARIT ได้ตีพิมพ์งานวิจัยมากกว่า 600 เรื่อง และมีการอ้างอิงถึงงานวิจัยเหล่านี้มากถึง 11,000 ครั้ง ซึ่งแสดงถึงคุณภาพงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยมีนักวิจัยหญิงและชายในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ ยังมีนักดาราศาสตร์ไทยที่ได้รับโอกาสในการใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เว็บบ์ศึกษาวิจัยกาแล็กซีที่ไกลที่สุด และศึกษาดาวระเบิด การสิ้นอายุขัยในระบบไฮเปอร์โนวา ซึ่งได้จำนวนชั่วโมงในการใช้กล้องมากกว่าพันชั่วโมงของเวลาการใช้กล้องทั้งหมด คิดเทียบเป็นมูลค่ากว่าสามร้อยล้านบาท ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยในการแข่งขันในเวทีโลก นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยด้านโบราณดาราศาสตร์ เชื่อมโยงความรู้ดาราศาสตร์กับประวัติศาสตร์ หาอายุของโบราณสถานจากการเปลี่ยนตำแหน่งของดาวฤกษ์
NARIT ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรระดับโลก โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยทางดาราศาสตร์และการแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านการวิจัย นอกจากนั้น NARIT ยังพัฒนาศึกษาค้นคว้าด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง เพื่อพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือที่ตอบโจทย์งานวิจัยขั้นแนวหน้ามาเป็นลำดับ เพื่อการพึ่งพาตนเอง ลดการนำเข้า และพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร นอกจากนี้ ยังให้บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์แก่ประชาชน ผ่านหอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชน 6 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร จ.เชียงใหม่ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา นครราชสีมา ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา สงขลา และพิษณุโลก เพื่อกระจายความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ
ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและทัดเทียมกัน ปัจจุบันมีประชาชนให้ความสนใจใช้บริการท้องฟ้าจำลองกว่า 4 ล้านคนทั่วประเทศ และพร้อมขับเคลื่อนโครงการสำคัญ “มอบกล้องโทรทรรศน์และท้องฟ้าจำลอง” ให้กับโรงเรียน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ดาราศาสตร์ จนทำให้ NARIT ได้รับรางวัลองค์กร ที่มีการจัดกิจกรรม Outreach ที่ดีที่สุดในโลกจากสหพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติ
นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในโครงการวิจัยระดับโลก เช่น CTA, EAO, GOTO, JUNO, และ ILRS เพื่อแบ่งปันความรู้และยกระดับการศึกษาวิจัยด้านดาราศาสตร์ในประเทศไทย
ดร.วิภู รุโจปการ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า ก้าวต่อไปของ NARIT คือแนวคิด Astronomy+ ดาราศาสตร์จะมีบทบาทในบริบทที่กว้างขึ้น ทุกอย่างที่ยึดโยงกับดาราศาสตร์จะมีประโยชน์กับสังคมแบบจับต้องได้ พร้อมขับเคลื่อนงานวิจัยและงานพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยแนวคิดดังกล่าวแบ่งเป็น
![]() |
![]() |
Research+ การวิจัยดาราศาสตร์ในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่การศึกษาในระดับ Frontier ได้แก่ การศึกษากาแล็กซีในยุคแรก การระเบิดของดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุด และการสำรวจดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ พร้อมมุ่งสู่การทำความเข้าใจธรรมชาติของเอกภพอย่างลึกซึ้ง ด้านการสำรวจดวงจันทร์และอวกาศห้วงลึก นักดาราศาสตร์ไทยจะได้รับข้อมูลจากการสำรวจที่ล้ำหน้า ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและการศึกษาวิจัย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเข้าใจในธรรมชาติของดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะในช่วง Solar Maximum ที่มีพลังงานสูงมากในทุก ๆ 11 ปี นอกจากนี้ งานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์บรรยากาศ ยังมุ่งเน้นการศึกษามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM2.5 ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ ACSM 3 ในสามภูมิภาคหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ กรุงเทพฯ และสงขลา เพื่อเก็บข้อมูลทางเคมีและร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการหาวิธีแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน
Infrastructure+ ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการวิจัยและบุคลากร ได้แก่ การสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบวีกอส ขนาด 13 เมตร สำหรับศึกษาทางด้านยีออเดซี ใช้เทคนิคดาราศาสตร์เก็บข้อมูลการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก ยูเรเซียนเพลท ซุนดาเพลท และ อินเดียนเพลท รวมถึงการเกิดแผ่นดินไหวด้วยความแม่นยำระดับมิลลิเมตรต่อปี โดยจะติดตั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ นครศรีธรรมราช และสงขลา พร้อมเปิดให้มีการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกันในระดับโลก
![]() |
![]() |
การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงเพื่อรองรับการจัดเก็บข้อมูลดาราศาสตร์ขนาดใหญ่ที่จะกลายเป็น “ศูนย์ข้อมูลดาราศาสตร์แห่งชาติ” เพื่อเก็บข้อมูลทางดาราศาสตร์และเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าถึงและสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ และศึกษาวิจัยได้
การพัฒนาอุปกรณ์รับสัญญาณในช่วงคลื่นเทราเฮิร์ต SIS Mixer ที่ทำงานในสภาวะอุณหภูมิติดลบยิ่งยวดถึง 4 เคลวิน สำหรับรับสัญญาณดาราศาสตร์วิทยุ ออกแบบและพัฒนาโดยทีมวิศวกร NARIT ตั้งแต่การสร้างและออกแบบระบบ การขึ้นรูปชิ้นงานความละเอียดสูงสำหรับใช้เป็นส่วนประกอบต่าง ๆ รวมถึงกระบวนการ Wire bonding ซึ่งทีมวิศวกร NARIT สามารถประดิษฐ์และพัฒนาได้เอง องค์ความรู้ที่ได้สามารถถ่ายทอด และต่อยอดไปสู่ภาคอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวในภาคอุตสาหกรรมถือว่ายังมีน้อยมากในประเทศไทย
นอกจากนี้ NARIT กำลังออกแบบและผลิตกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8 เมตร สำหรับนำไปติดตั้ง ณ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา พิษณุโลก (หอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชนแห่งที่ 5 ของไทย) และฐานกล้องโทรทรรศน์ติดตามวัตถุท้องฟ้าอัตโนมัติความแม่นยำสูง รวมถึง Atmospheric LiDAR อุปกรณ์ไลดาร์สำหรับศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์บรรยากาศ ศึกษาปัญหามลพิษทางอากาศ ทำให้ทราบถึงความหนาแน่นของอนุภาคชนิดต่าง ๆ ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ แต่ละระดับความสูง ไปจนถึงชั้นบนสุดที่มลภาวะสามารถผสมเข้ากับชั้นบรรยากาศได้ (Mixing Height) ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงค่าดัชนีฝุ่น PM2.5 ในแต่ละวัน สามารถวัดได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
![]() |
![]() |
สำหรับบทบาททางด้านเทคโนโลยีอวกาศ ขณะนี้ทีมวิศวกรไทยกำลังพัฒนาดาวเทียม TSC-1 ดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์ ภายใต้ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย โดยขึ้นรูปชิ้นส่วนโครงสร้างและประกอบภายในห้องปฏิบัติการทดสอบและประกอบดาวเทียม (Clean room) ณ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร จ. เชียงใหม่ เพื่อจะนำขึ้นสู่อวกาศในปี 2570 และสร้างอุปกรณ์วิจัยวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัย ได้แก่ อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ (Moon-Aiming Thai-Chinese Hodoscope: MATCH) ที่จะส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์กับยานฉางเอ๋อ 7 และอุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณนิวตรอนที่สะท้อนจากพื้นผิวดวงจันทร์ (Assessing Lunar Ion-Generated Neutrons: ALIGN) ส่งไปกับยานฉางเอ๋อ 8 ที่จะไปลงจอดบนพื้นผิวด้านไกลดวงจันทร์ ภายใต้โครงการสถานีวิจัยนานาชาติบนดวงจันทร์ (ILRS)
สุดท้าย Astronomy Outreach+ งานด้านการสร้างความตระหนักและการสื่อสารดาราศาสตร์สู่สังคม ยังคงขับเคลื่อนต่อไปอย่างเข้มข้น โดย NARIT วางแผนจัดกิจกรรม Star Party ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปีหน้า ซึ่งจะได้รับการบันทึกเป็น World Record พร้อมขยายกิจกรรม Outreach เพื่อส่งเสริมความตระหนักด้านดาราศาสตร์ไปสู่สังคมไทยและทั่วโลก ผ่านการขับเคลื่อนของศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก (ITCA) รวมทั้งยังเดินหน้าดาราศาสตร์เพื่อคนทั้งมวล สานต่อการขยายโอกาสการเรียนรู้ไปสู่กลุ่มผู้มีความต้องการพิเศษ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
การขับเคลื่อนภารกิจด้านต่าง ๆ ทั้งการวิจัยดาราศาสตร์ที่มุ่งเน้นงานวิจัยขั้นแนวหน้าที่สร้างองค์ความรู้ใหม่ด้านวิทยาศาสตร์ การพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนากำลังคน รวมถึงการสร้างความตระหนักด้านดาราศาสตร์สู่สังคม โดยความร่วมมือกับองค์กรระดับโลก ไม่เพียงแต่ยกระดับงานวิจัยในประเทศ แต่ยังผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านดาราศาสตร์ในระดับโลก พร้อมกับการสร้างคุณค่าและมูลค่ากลับสู่สังคมไทย
ดาวน์โหลดภาพและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/NARIT-The-Next-Big-Leap