ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนมกราคม 2565
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนมกราคม 2565 เปรียบเทียบ
เดือนธันวาคม 2564 และคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
รายการข้อคำถาม | ธันวาคม 2564 | มกราคม 2565 | คาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้า | ||||||||
เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | เพิ่มขึ้น/ | คงที่/ | ลดลง/ | |||
ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | ดีขึ้น | เท่าเดิม | แย่ลง | |||
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม | 25.80 | 46.70 | 27.50 | 25.40 | 46.10 | 28.50 | 34.50 | 49.40 | 16.10 | ||
2. รายได้จากการทำงาน | 25.30 | 45.60 | 29.10 | 25.10 | 44.70 | 30.20 | 34.80 | 50.30 | 14.90 | ||
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว | 25.90 | 46.30 | 27.80 | 26.40 | 45.20 | 28.40 | 32.80 | 35.70 | 31.50 | ||
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ | 35.90 | 46.70 | 17.40 | 34.30 | 45.60 | 20.10 | 35.60 | 45.80 | 18.60 | ||
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต | 26.70 | 48.50 | 24.80 | 26.40 | 47.80 | 25.80 | 36.50 | 50.40 | 13.10 | ||
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) | 26.90 | 45.60 | 27.50 | 26.70 | 45.70 | 27.60 | 35.40 | 48.30 | 16.30 | ||
7. การออมเงิน | 26.50 | 46.80 | 26.70 | 26.20 | 47.30 | 26.50 | 37.10 | 48.50 | 14.40 | ||
8. การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ | 32.60 | 45.30 | 22.10 | 31.30 | 45.70 | 23.00 | 33.50 | 49.40 | 17.10 | ||
9. การลดลงของหนี้สิน | 30.70 | 48.10 | 21.20 | 30.40 | 47.60 | 22.00 | 30.10 | 54.60 | 15.30 | ||
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน | 25.60 | 45.60 | 28.80 | 25.20 | 45.30 | 29.50 | 34.20 | 57.20 | 8.60 | ||
11. การแก้ปัญหายาเสพติด | 28.20 | 47.40 | 24.40 | 28.30 | 45.50 | 26.20 | 30.30 | 48.60 | 21.10 | ||
12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | 27.20 | 45.10 | 27.70 | 27.40 | 45.30 | 27.30 | 34.60 | 45.20 | 20.20 | ||
13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ | 31.70 | 47.70 | 20.60 | 30.80 | 46.40 | 22.80 | 32.10 | 50.70 | 17.20 | ||
ความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนพฤศจิกายน ธันวาคม 2564 มกราคม 2565
รายการข้อคำถาม | 2564 | 2565 | |
พฤศจิกายน | ธันวาคม | มกราคม | |
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม | 42.40 | 42.70 | 42.30 |
2. รายได้จากการทำงาน | 39.00 | 39.20 | 38.70 |
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว | 49.80 | 49.90 | 52.20 |
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ | 39.80 | 40.30 | 39.70 |
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต | 47.30 | 47.40 | 47.00 |
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) | 38.50 | 38.80 | 38.40 |
7. การออมเงิน | 39.80 | 39.90 | 39.60 |
8. การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ | 44.10 | 43.60 | 42.30 |
9. การลดลงของหนี้สิน | 49.40 | 49.30 | 49.20 |
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน | 35.30 | 35.80 | 35.20 |
11. การแก้ปัญหายาเสพติด | 47.70 | 47.50 | 47.40 |
12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | 36.60 | 36.50 | 36.80 |
13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ | 32.70 | 32.90 | 32.60 |
14. ความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวม | 41.60 | 42.20 | 41.30 |
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนมกราคม 2565 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเดือนมกราคม 2565 (41.30) ปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2564 (42.20) เดือนพฤศจิกายน (41.60) โดยดัชนีที่มีการปรับตัวลดลง ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ความสุขในการดำเนินชีวิต ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) การออมเงิน การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ การลดลงของหนี้สิน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การแก้ปัญหายาเสพติด และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยปัจจัยลบจากสถานการณ์ค่าครองชีพที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในหมวดอาหาร ค่าเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า ค่าเดินทาง ฯลฯ ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งปัญหาข้าวของแพงที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชนเป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนต้องปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย โดยเลือกใช้จ่ายสินค้าเท่าที่จำเป็น ลดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย ลดกิจกรรมสังสรรค์ และหันไปเลือกใช้สินค้าทดแทนที่ราคาถูกลง เช่น กลุ่มเนื้อสัตว์ที่ถูกกว่า สินค้ามือสอง หรือสินค้าแบรนด์รอง เป็นต้น ซึ่งแนวโน้มปัญหาค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นนั้น อาจจะยังคงแพงต่อเนื่องมากกว่า 1 ปี ดังนั้น ในระยะสั้น ภาครัฐควรออกมาตรการช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้บริโภคอย่างเร่งด่วน รวมถึงช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจสามารถตรึงราคาสินค้าให้ได้มากที่สุด อีกทั้ง ภาครัฐควรออกมาตรการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค และกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้เพิ่มขึ้น เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาว ภาครัฐควรเร่งแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา และรีบเร่งในการแก้ปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยให้ปัญหาลุกลามปานปลาย นอกจากนี้ ภาครัฐควรรับฟังปัญหาโดยตรงจากประชาชน และสั่งการให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วนและทันท่วงที รวมถึงไม่ปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำซาก ยืดเยื้อ จนเกิดความเสียหายในวงกว้าง ยากต่อการแก้ไขให้เสร็จสิ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น
ท่ามกลางความเสี่ยงที่มีมากขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้า อีกทั้งยังเป็นเชื้อที่ต่อต้านวัคซีน และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ ถึงแม้ความรุนแรงของสายพันธุ์โอมิครอนจะมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น แต่ประชาชนจำนวนมากก็ยังคงมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน รวมถึงการกลายพันธุ์และการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ B.1.1.529 ที่เริ่มพบมากขึ้นในทวีปแอฟริกา และยังคงมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ซึ่งนักวิชาการทางด้านสาธารณสุขส่วนหนึ่งคาดว่าไวรัสอาจจะดื้อต่อวัคซีนและแพร่กระจายติดได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ดังนั้น ภาครัฐควรมีมาตรการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้แก่ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ มีดังนี้
- จากค่าครองชีพที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีแนวโน้มว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคน่าจะยังคงสูงเช่นนี้อีกหลายเดือน ส่งผลให้ประชาชนที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลางได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ซึ่งประชาชนมองว่า สาเหตุดังกล่าวเกิดจากการแก้ปัญหาของภาครัฐที่ผิดพลาด ล่าช้า และมักแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทั้งนี้ ประชาชนเสนอให้ภาครัฐและข้าราชการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน “จากทำงานเชิงรับ เป็นการทำงานเชิงรุกมากขึ้น” โดยมีช่องทางการเปิดรับปัญหาโดยตรงจากประชาชน รวมถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องควรรีบสั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และรายงานตรงต่อรัฐมนตรีภายในเวลาที่กำหนด
- ประชาชนมีความกังวลการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มจังหวัดที่เริ่มมีกิจกรรมธุรกิจและการท่องเที่ยว รวมทั้งความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโควิดสายพันธุ์ B.1.1.529 ที่กระจายไปแล้วหลายประเทศ ดังนั้น ภาครัฐควรมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างจริงจังและสร้างความตระหนักให้ประชาชนเข้มงวดในการดูแลป้องกันตนเอง ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มงวด
- ประชาชนส่วนหนึ่งเสนอให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีคำสั่งให้สถานศึกษาประกาศยกเลิกคำสั่งไม่ให้เด็กอายุ 5-11 ปี ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนห้ามเข้าเรียนในห้องเรียน เนื่องจากผู้ปกครองของเด็กส่วนหนึ่งมีความกังวลว่าเด็กในช่วงอายุดังกล่าว อาจจะเกิดอันตรายจากการฉีดวัคซีนได้ และไม่เห็นด้วยกับมาตรการของสถานศึกษา เพราะเป็นการละเมิดสิทธิ์ของเด็กในการเข้าถึงการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมทักษะและพัฒนาการของเด็ก โดยเสนอให้สถานศึกษาใช้วิธีอื่นที่เหมาะสมและปลอดภัยกับเด็กทุกคนในการมาเรียนในชั้นเรียน
ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 34.50 และ 34.80 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 32.80 และ 35.60 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 36.50
34.60 และ 32.10 ตามลำดับ
ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือ ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ36.90 รองลงมา คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ โอมิครอน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คิดเป็นร้อยละ 24.50 และ 22.80 ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรรีบดำเนินการและให้ความช่วยเหลือ อันดับแรก คือ การแก้ปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รองลงมา คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการ ตามลำดับ